รอยแตกลาย

รวมวิธีดูแลผิว ลดรอยผิวแตกลาย ให้ผิวกลับกลับมาเนียนใส

อ่านแล้ว 1 นาที
แสดงบทความเพิ่มเติม

ปัญหารอยผิวแตกลาย ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อความั่นใจของสาว ๆ เพราะทั้งรักษาให้หายยาก หากไปเลเซอร์ก็มีค่าใช้จ่ายสูง มีรอยที่ชัดเจนยากต่อการกลบหรือปกปิดด้วยรองพื้น ส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตอย่างการแต่งกาย เช่น ชุดว่ายน้ำ เสื้อครอป หรือกางเกงขาสั้น ทำให้หลายคนเลี่ยงที่จะไม่สวมชุดที่อยากใส่ เพราะไม่อยากเปิดโชว์ผิวที่แตกลายตามบริเวณต่าง ๆ บนร่างกาย

 

ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย คืออะไร

รอยแตกลาย หรือผิวแตกลาย (Stretch Marks or Striae ) คือ รอยแผลเป็นชนิดหนึ่งมักมีสีแดง สีม่วง สีชมพู สีน้ำตาลแดง ไปจนสีน้ำตาลเข้ม ขึ้นอยู่กับสีผิวของแต่ละคน รอยผิวแตกลายนั้นเกิดจากผิวหนังมีการยืด หรือหดตัวอย่างรวดเร็ว เพราะการเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้คอลลาเจนในผิวหนังถูกทำลายและฉีกขาด ทำให้เมื่อผิวหนังสมานตัวจึงเกิด “รอยแตกลาย” ซึ่งผิวแตกลายมักจะเกิดในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น บริเวณหน้าท้อง, หน้าอก, เต้านม, หัวไหล่, ต้นแขน, ต้นขา, สะโพก, ก้น และน่อง เป็นต้น

ประเภทของ รอยผิวแตกลาย

  • Striae rubra มีลักษณะรอยแตกเป็นเส้นสีแดง ซึ่งเป็นรอยแตกลายในระยะแรก เส้นสีแดงอาจจะมีการนูนขึ้นจากผิวได้
  • Striae alba มีลักษณะเป็นรอยแตกลายเส้นขนานสีขาว ซึ่งเป็นรอยแตกลายที่ยุบตัวลงบนผิวแล้ว เกิดจากรอยแตกลายสีแดงกลายมาเป็นสีขาว
  • Striae distensae มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานจากการยืด มักพบในคนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • Striae atrophicans มีลักษณะเป็นลายเส้นขนาน พบได้ในคุณแม่หลังคลอด หรือคนที่น้ำหนักขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว

รอยแตกลายเกิดจาก

ใครที่มีโอกาสเป็นรอยแตกลาย

  • เด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น  เนื่องจากเป็นวัยที่กำลังโต จึงมีการเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง และน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
  • คุณแม่หลังคลอด  มักมีรอยแตกลายบริเวณหน้าท้อง ไปจนถึงเต้านม เนื่องจากฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง และขนาดท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • ผู้ที่เล่นเวท (Weight Training)  มักพบรอยแตกลายที่ไหล่ เนื่องจากกล้ามเนื้อโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

10 วิธีรักษาและลดรอยผิวแตกลาย

1. เริ่มจากการดูแลตัวเองจากภายใน

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินดี, วิตามินอี, ผักผลไม้ รวมทั้งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ และถั่ว พยายามควบคุมปริมาณอาหารให้พอเหมาะต่อวัน เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสที่น้ำหนักจะขึ้น-ลงกระทันหัน ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 1-2.5 ลิตร/วัน เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว ทั้งยังช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ผิวที่แตกลายไม่แห้ง นุ่นลื่นขึ้น และดูจางลง

 

2. ขัดสครับผิวเป็นประจำ

การขัดสครับผิวกายเป็นประจำทุกครั้ง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่าออกไปแล้วกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนผิวเดิม หากจะให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรเลือกสูตรสครับจากสมุนไพรที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว สามารถลดปัญหารอยแตกลายได้

  • สูตรมะนาวดินสอพอง นำน้ำมะนาวสดมาผสมกับดินสอพอง แล้วพอกบริเวณที่มีปัญหาผิวแตกลาย เนื่องจากมะนาวมีกรด AHA จากธรรมชาติ สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสขึ้น สามารถช่วยให้ผิวแตกลายจางลงได้หากทำเป็นประจำ
  • สูตรผงขมิ้นมะขาม นำผงขมิ้นมาผสมกับมะขามเปียกโดยไม่ต้องทิ้งใย แล้วนำมาขัดสครับผิว นอกจากจะทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นแล้ว ยังช่วยให้รอยผิวแตกลายเบาบางลงด้วย

วิธีลดรอยแตกลาย

3. น้ำมันมะกอกลดรอยแตกลาย

น้ำมันมะกอกสามารถช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นขึ้นได้ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดี และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเติมเต็มน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว และช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ที่ผิวได้ยาวนาน ก่อนชะโลมลงผิวแนะนำให้อุ่นน้ำมันมะกอกในไมโครเวฟ โดยใช้เวลาแค่ 2 - 3 วินาที แล้วนำมานวดบริเวณผิวที่มีรอยแตกลาย โดยไม่ต้องล้างออก

 

4. ไข่ขาวช่วยลดผิวแตกลาย

ไข่ขาวประกอบไปด้วยกรดอะมิโน และโปรตีน ทำให้เซลล์ผิวฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไข่ขาวทาบริเวณผิวแตกลาย รอจนแห้งติดผิว แล้วจึงล้างออก สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน

 

5. ทาครีมบำรุงผิวชุ่มชื้น

หมั่นทาครีมบำรุงที่มีความเข้มข้นสูงในบริเวณผิวแตกลายเป็นประจำทุกวันเช้า-เย็น เพื่อช่วยลดและป้องกันการเกิดรอยแตกลายที่ผิวหนัง ที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้บริเวณที่ผิวแตกลายแห้งกร้าน เพราะอาจทำให้ผิวบริเวณอื่นแห้งตามไปด้วยได้

 

6. ครีมลดรอยแตกลาย

ควรใช้คู่ไปกับครีมทาผิวที่ใช้อยู่เป็นประจำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยให้รอยแตกลายจางลง แม้ผิวแตกลายจะไม่สามารถหายแบบถาวรได้แต่ก็สามารถช่วยบรรเทาให้ดูจางลง โดยเลือกใช้ครีมลดรอยแตกลายที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ และกรดผลไม้ เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และความยืดหยุ่นให้ผิว

 

7. อนุพันธ์วิตามินเอ (Retin A)

อนุพันธ์วิตามินเอ หรือเรตินเอ (Retin A) สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวได้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนัง ทำให้รอยแตกลายดูจางลง ควรเลือกความเข้มข้นประมาณ 0.025% หรือ 0.05% แต่ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ผิวหนังก่อน เพราะหากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หรือใช้ผิดวิธีอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้

 

8. กรดเอเอชเอ (AHA) และ กรดบีเฮชเอ (ฺBHA)

การใช้กรดผลไม้ AHA และ BHA นั้นสามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ ทั้งยังช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมการสร้างเนื้อเยื่อใต้เชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวดูเรียบเนีบยขึ้น รอยแตกลายดูจางลง หากใครที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ผิวหนังก่อนใช้

 

9. ไอพีแอล (Intensed Pulsed Light – IPL)

เป็นการใช้แสงความเข้มข้นสูง ยิงบริเวณผิวที่เป็นรอยแตกโดยเฉพาะ แต่จะได้ผลดีกับรอยแตกที่มีสีแดงหรือรอยแตกที่เพิ่งเกิดใหม่ ไม่เหมาะกับคนที่มีรอยแตกสีขาวที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เพราะจะไม่เห็นผล ควรทำอย่างน้อย 5 ครั้ง จึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของรอยแตกลายดีดูจางลง

 

10. เลเซอร์ลดรอยแตกลาย (Laser)

เป็นหัตถการการยิงเลเซอร์แบบเฉพาะจุดไปที่บริเวณชั้นผิว เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นวิธีที่เห็นผลไว แต่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ต้องทำหลายครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน สามารถรักษาได้ทั้งรอยแตกลายที่เป็นมานานแล้วจนถึงรอยแตกลายที่เพิ่งเป็น

  • Beam Laser ช่วยทำลายเส้นเลือดในคนที่มีรอยแตกแดง เหมาะกับรอยแตกลายที่เพิ่งเกิดใหม่หรือรอยแตกลายเส้นสีแดง
  • Fraxel Laser ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับรอยแตกลายที่เป็นมานานแล้ว

วิธีป้องกันผิวแตกลาย หรือรอยแตกลาย

  • ควบคุมอาหารในปริมาณที่พอเหมาะไม่ให้น้ำหนักขึ้น-ลงเร็วจนเกินไป
  • ไม่ปล่อยให้ผิวแห้งกร้าน ควรหมั่นทาครีมบำรุงผิวอยู่เสมอ
  • คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ควรทาครีมบำรุงที่มีความชุ่มชื้นสูงในบริเวณที่มีโอกาสจะแตกลาย เช่น หน้าท้อง และบริเวณเต้านม

รอยแตกลายแม้จะรักษาให้หายถาวรไม่ได้ แต่สามารถรักษาให้จางลงได้ แต่จำเป็นต้องใช้เวลา รวมทั้งมีวินัยในการดูแลผิวอย่างเคร่งครัด อย่างการหมั่นทาครีมบำรุงผิว ทาครีมลดรอยแตกลายควรคู่ไปด้วยเป็นประจำทุกวันเช้า-เย็น และทำหัตการควบคู่ไปด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีมีประสิทธิภาพสูงสุด

คำถามที่พบบ่อย (2)