ลมพิษ

โรคลมพิษ เกิดจากอะไร อาการและวิธีรักษาเบื้องต้น

อ่านแล้ว 3 นาที
แสดงบทความเพิ่มเติม

“โรคลมพิษ” เป็นปฏิกิริยาการแพ้รูปแบบหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากอาหาร ยา และการติดเชื้อ รวมถึงปัจจัยภายในจะแสดงอาการด้วยผื่น บวม แดง นูนขึ้นมา อาจจะมีอาการคันหรือแสบ มักเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง หลังการกระตุ้น โดยส่วนใหญ่ผื่นจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง

โรคลมพิษ คืออะไร?

โรคลมพิษ หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Urticaria คือปฏิกิริยาของผิวหนังที่ตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ทำให้เซลล์ที่เรียกว่า "เซลล์แมสต์" (Mast Cells) ซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง ปล่อยสารเคมีหลายชนิดออกมา ที่สำคัญที่สุดคือ ฮีสตามีน (Histamine) สารเหล่านี้ทำให้หลอดเลือดฝอยในบริเวณนั้นขยายตัวและมีของเหลว (พลาสมา) รั่วซึมออกมาสะสมในชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นผื่นลมพิษลักษณะผื่นนูนแดง ไม่มีขุย มีขนาดต่าง ๆ ได้ตั้งแต่ 0.5-10 ซม. มีขอบเขตชัดเจน และมักมีอาการคันเด่นชัด

ลักษณะเด่นของผื่นลมพิษคือ:

  • ผื่นนูนแดง (Wheals): ผื่นลมพิษมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันไป ตั้งแต่จุดเล็กๆ ขนาดไม่กี่มิลลิเมตร ไปจนถึงปื้นใหญ่ขนาดหลายเซนติเมตร อาจมีลักษณะเป็นวงกลม วงรี หรือรูปร่างไม่แน่นอน ขอบผื่นมักจะยกนูนชัดเจน
  • อาการคัน (Itching/Pruritus): เป็นอาการหลักที่สร้างความรำคาญ บางรายอาจมีอาการแสบร้อนร่วมด้วย
  • การหายของผื่น: ผื่นลมพิษแต่ละตำแหน่งมักจะคงอยู่ไม่นาน โดยทั่วไปจะค่อยๆ ยุบและจางหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่ทิ้งร่องรอยหรือแผลเป็น แต่อาจมีผื่นใหม่เกิดขึ้นที่ตำแหน่งอื่นของร่างกายได้เรื่อยๆ

ในบางราย โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการรุนแรง อาจมีภาวะ แอนจิโออีดีมา (Angioedema) ร่วมด้วย ซึ่งเป็นการบวมของเนื้อเยื่อชั้นที่ลึกกว่าผิวหนังชั้นบน มักเกิดบริเวณที่มีเนื้อเยื่ออ่อน เช่น ริมฝีปาก เปลือกตา มือ เท้า อวัยวะเพศ หรือแม้แต่ในทางเดินหายใจ ซึ่งหากเกิดการบวมในทางเดินหายใจอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ประเภทของลมพิษ

การแบ่งประเภทของลมพิษมีความสำคัญต่อการวางแผนการรักษา โดยหลักๆ แบ่งตามระยะเวลาการเกิดโรค:

  • ลมพิษชนิดเฉียบพลัน (Acute Urticaria):
    • หมายถึง อาการลมพิษที่เกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ ต่อเนื่องกัน ไม่เกิน 6 สัปดาห์
    • มักพบสาเหตุได้ค่อนข้างชัดเจน เช่น การแพ้อาหาร แพ้ยา หรือการติดเชื้อ
  • ลมพิษชนิดเรื้อรัง (Chronic Urticaria):
    • หมายถึง อาการลมพิษที่เกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และเป็นต่อเนื่องกัน นานกว่า 6 สัปดาห์ขึ้นไป
    • การหาสาเหตุในกลุ่มนี้มักจะยากกว่า และในหลายกรณีก็ไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนได้ (เรียกว่า Chronic Spontaneous Urticaria หรือ CSU)
    • ลมพิษเรื้อรังยังสามารถแบ่งย่อยได้อีกเป็น:
      • ลมพิษเรื้อรังที่เกิดขึ้นเอง (Chronic Spontaneous Urticaria - CSU): เกิดขึ้นโดยไม่มีปัจจัยกระตุ้นที่ชัดเจน
      • ลมพิษเรื้อรังจากปัจจัยกระตุ้น (Chronic Inducible Urticaria - CIndU): เกิดจากปัจจัยทางกายภาพหรือสิ่งกระตุ้นเฉพาะเจาะจง

อาการของโรคลมพิษ: สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

อาการของลมพิษคือผื่นนูนแดงคันดังที่กล่าวไปแล้ว แต่อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วย ได้แก่:

 

ผิวหนัง:

  • ผื่นนูนแดง (Wheals) ขนาดและรูปร่างหลากหลาย
  • อาการคันรุนแรงบริเวณที่เป็นผื่นลมพิษ (บางครั้งอาจเป็นอาการแสบ)
  • ผิวหนังบริเวณผื่นลมพิษอาจซีดตรงกลางและแดงบริเวณขอบ

 

แอนจิโออีดีมา (Angioedema):

  • อาการบวมที่ริมฝีปาก เปลือกตา ใบหน้า มือ เท้า หรืออวัยวะเพศ
  • อาจมีอาการตึงๆ หรือเจ็บบริเวณที่บวม
  • หากเกิดที่ลิ้น กล่องเสียง หรือทางเดินหายใจ จะทำให้เสียงแหบ หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินต้องรีบพบแพทย์ทันที

 

อาการทางระบบอื่นๆ (พบได้น้อย แต่มีความสำคัญ):

  • ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน (หากลมพิษเกิดที่เยื่อบุทางเดินอาหาร)
  • แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก (หากมีอาการบวมของหลอดลม)
  • ปวดข้อ
  • ไข้ (พบได้กรณีมีการติดเชื้อร่วมด้วย)
  • ในรายที่แพ้รุนแรง (Anaphylaxis) อาจมีอาการหน้ามืด วิงเวียน ความดันโลหิตต่ำ และอาจหมดสติได้ ถือเป็นภาวะอันตรายถึงชีวิต

สาเหตุของการเกิดลมพิษ

สาเหตุของลมพิษมีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยสามารถแบ่งกลุ่มสาเหตุหลักๆ ได้ดังนี้:

  • อาหาร (Food): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในลมพิษเฉียบพลัน อาหารที่มักเป็นตัวกระตุ้น เช่น อาหารทะเล (กุ้ง, ปู, หอย), ไข่, นม, ถั่วต่างๆ, แป้งสาลี รวมถึงสารปรุงแต่งอาหาร เช่น สารกันบูด, สีผสมอาหาร
  • ยา (Medications): ยาหลายชนิดสามารถกระตุ้นให้เกิดลมพิษได้ ทั้งจากการแพ้ยาโดยตรง หรือผลข้างเคียงของยา เช่น ยาปฏิชีวนะ (โดยเฉพาะกลุ่มเพนิซิลลิน, ซัลฟา), ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน), ยาคลายกล้ามเนื้อ, สารทึบรังสี
  • การติดเชื้อ (Infections): การติดเชื้อไวรัส (เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่, ไวรัสตับอักเสบ, Epstein-Barr virus), การติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น ในช่องปาก, ทางเดินปัสสาวะ), การติดเชื้อรา หรือพยาธิ สามารถกระตุ้นให้เกิดลมพิษได้
  • แมลงสัตว์กัดต่อย (Insect Bites/Stings): พิษจากแมลง เช่น ผึ้ง ต่อ แตน มด หรือการสัมผัสบุ้ง สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาเป็นผื่นลมพิษเฉพาะที่ หรือกระจายทั่วตัวได้
  • สารสัมผัส (Contact Urticaria): การสัมผัสกับสารบางอย่างโดยตรงที่ผิวหนัง เช่น ยางลาเท็กซ์ (ถุงมือยาง), ขนสัตว์, พืชบางชนิด, เครื่องสำอาง, หรือแม้แต่อาหารบางชนิด (เช่น สัมผัสเนื้อสัตว์ดิบ)
  • ปัจจัยทางกายภาพ (Physical Urticaria / Inducible Urticaria): เป็นกลุ่มลมพิษที่เกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติของผิวหนังต่อสิ่งกระตุ้นทางกายภาพ ได้แก่:
    • Dermographism (ลมพิษจากการขีดข่วน): เกิดผื่นนูนแดงตามรอยขีดข่วนหรือแรงกดบนผิวหนัง
    • Cold Urticaria (ลมพิษจากความเย็น): เกิดผื่นเมื่อผิวหนังสัมผัสความเย็น เช่น อากาศเย็น น้ำเย็น หรือน้ำแข็ง
    • Cholinergic Urticaria (ลมพิษจากการกระตุ้นระบบประสาท Cholinergic): เกิดผื่นขนาดเล็กจำนวนมาก มักมีอาการคัน แสบ หรือเจ็บจี๊ดๆ เมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น เช่น หลังออกกำลังกาย, อาบน้ำอุ่น, อยู่ในที่ร้อนอบอ้าว, หรือมีความเครียด/ตื่นเต้น
    • Delayed Pressure Urticaria (ลมพิษจากการกดทับ): เกิดผื่นบวมแดงเจ็บหลังบริเวณที่ถูกกดทับนานๆ เช่น ขอบกางเกง, สายเสื้อชั้นใน, การนั่งนานๆ โดยมักเกิดอาการหลังถูกกดทับ 3-12 ชั่วโมง
    • Solar Urticaria (ลมพิษจากแสงแดด): เกิดผื่นเมื่อผิวหนังสัมผัสแสงแดดหรือแสง UV
    • Aquagenic Urticaria (ลมพิษจากน้ำ): เกิดผื่นเมื่อสัมผัสน้ำ โดยไม่ขึ้นกับอุณหภูมิของน้ำ (พบได้น้อยมาก)
    • Vibratory Angioedema/Urticaria (ลมพิษจากการสั่นสะเทือน): เกิดจากการสั่นสะเทือน (พบได้น้อย)
  • โรคทางระบบอื่นๆ (Systemic Diseases):
    • โรคต่อมไร้ท่อ: เช่น โรคของต่อมไทรอยด์ (โดยเฉพาะภาวะต่อมไทรอยด์อักเสบจากภูมิคุ้มกัน หรือ Hashimoto's thyroiditis)
    • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Diseases): เช่น โรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus), ผู้ป่วยลมพิษเรื้อรังจำนวนหนึ่งอาจมีภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างแอนติบอดีไปกระตุ้นเซลล์แมสต์ให้หลั่งสารฮีสตามีน (Autoimmune Urticaria)
    • มะเร็ง: พบได้น้อยมาก แต่ก็เป็นสาเหตุหนึ่ง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
  • ความเครียดและปัจจัยทางอารมณ์ (Stress and Emotional Factors): ความเครียดไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรง แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้อาการลมพิษที่เป็นอยู่กำเริบหรือรุนแรงขึ้นได้
  • ไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic): ในผู้ป่วยลมพิษเรื้อรังจำนวนมาก แม้จะตรวจอย่างละเอียดแล้วก็ยังไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน

โรคลมพิษ: เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

หากคุณมีอาการผื่นลมพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า:

  • อาการรุนแรง ผื่นขึ้นเป็นบริเวณกว้าง
  • มีอาการของแอนจิโออีดีมา เช่น ปากบวม ตาบวม
  • มีอาการหายใจลำบากหรือแน่นหน้าอก (ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที)
  • ผื่นลมพิษเป็นซ้ำบ่อยๆ หรือเป็นต่อเนื่องนานเกิน 6 สัปดาห์ (ลมพิษเรื้อรัง)
  • สงสัยว่าแพ้อาหารหรือยาที่เฉพาะเจาะจง
  • ลมพิษรบกวนการนอนหลับหรือคุณภาพชีวิต

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดย:

  • การซักประวัติ (Medical History): แพทย์จะสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะผื่น, ระยะเวลาที่เป็น, ความถี่, อาการร่วมอื่นๆ, ปัจจัยที่คิดว่ากระตุ้นให้เกิดผื่น, ประวัติการแพ้ยาหรืออาหาร, ประวัติโรคประจำตัว, ยาที่ใช้ประจำ, ประวัติครอบครัว
  • การตรวจร่างกาย (Physical Examination): แพทย์จะตรวจดูลักษณะผื่นลมพิษ, การกระจายของผื่น, และตรวจหาสัญญาณของแอนจิโออีดีมา หรืออาการทางระบบอื่นๆ
  • การตรวจเพิ่มเติม (Further Investigations): อาจจำเป็นในบางราย โดยเฉพาะลมพิษเรื้อรัง หรือเมื่อสงสัยสาเหตุที่เฉพาะเจาะจง
ลมพิษ เกิดจาก

การรักษาโรคลมพิษ

เป้าหมายหลักของการรักษาลมพิษคือการควบคุมอาการคันและผื่นให้ได้มากที่สุด รวมถึงการค้นหาและกำจัดสาเหตุหรือปัจจัยกระตุ้น

 

การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น (Avoidance of Triggers):

  • หากทราบสาเหตุที่แน่ชัด เช่น อาหารหรือยาบางชนิด ควรงดหรือหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นอย่างเคร่งครัด
  • จดบันทึกอาหารที่รับประทาน หรือกิจกรรมที่ทำก่อนเกิดอาการ เพื่อช่วยในการค้นหาสาเหตุ
  • หลีกเลี่ยงการเกา เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ผื่นลามและคันมากขึ้น
  • ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ

 

การรักษาด้วยยา (Pharmacological Treatment):

  • ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamines): เป็นยาหลักในการรักษาลมพิษ ช่วยลดอาการคันและผื่น โดยการไปยับยั้งการออกฤทธิ์ของฮีสตามีน มีหลายกลุ่ม:
    • ยาต้านฮีสตามีนรุ่นที่ 1 (First-generation antihistamines): เช่น คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine), ไฮดรอกไซซีน (Hydroxyzine), ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) มีประสิทธิภาพดี แต่มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม ปากแห้ง คอแห้ง จึงมักแนะนำให้ใช้ก่อนนอน หรือในรายที่มีอาการคันรุนแรงจนนอนไม่หลับ
    • ยาต้านฮีสตามีนรุ่นที่ 2 (Second-generation antihistamines): เช่น เซทิริซีน (Cetirizine), ลอราทาดีน (Loratadine), เฟโซเฟนาดีน (Fexofenadine), เดสลอราทาดีน (Desloratadine), เลโวเซทิริซีน (Levocetirizine), บิลาสติน (Bilastine) มีผลข้างเคียงเรื่องอาการง่วงซึมน้อยกว่า หรือไม่มีเลยในบางตัว จึงมักเป็นตัวเลือกแรกในการรักษา สามารถรับประทานได้ทุกวันเพื่อควบคุมอาการในระยะยาว แพทย์อาจปรับขนาดยาสูงกว่าปกติ (สูงสุด 4 เท่า) ในกรณีที่ลมพิษเรื้อรังควบคุมอาการได้ไม่ดี
  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids):
    • ยาทา: เช่น ไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone) ใช้ทาบางๆ บริเวณผื่น เพื่อลดการอักเสบและอาการคัน เหมาะสำหรับผื่นเฉพาะที่ ไม่ควรใช้เป็นบริเวณกว้างหรือติดต่อกันนานๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์
    • ยารับประทาน: เช่น เพรดนิโซโลน (Prednisolone) ใช้ในกรณีที่ลมพิษมีอาการรุนแรง หรือไม่ตอบสนองต่อยาต้านฮีสตามีนอย่างเต็มที่ โดยทั่วไปจะให้ในระยะสั้นๆ (Short course) เพื่อควบคุมอาการ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาลง การใช้ระยะยาวมีผลข้างเคียงหลายอย่าง จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • ยาอื่นๆ (สำหรับลมพิษเรื้อรังที่ควบคุมยาก):
    • Leukotriene receptor antagonists: เช่น มอนเทลูคาสท์ (Montelukast) อาจใช้เสริมกับยาต้านฮีสตามีน
    • Omalizumab: เป็นยาฉีดกลุ่ม Biologic agent ที่ออกฤทธิ์จับกับ IgE ใช้ในผู้ป่วยลมพิษเรื้อรังชนิด CSU ที่ไม่ตอบสนองต่อยาต้านฮีสตามีนในขนาดสูง มีประสิทธิภาพดีแต่ราคาสูง
    • Cyclosporine: เป็นยากดภูมิคุ้มกัน อาจพิจารณาใช้ในรายที่ดื้อต่อการรักษาอื่นๆ และมีอาการรุนแรง แต่มีผลข้างเคียงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
  • อะดรีนาลีน (Adrenaline/Epinephrine): ใช้ในกรณีฉุกเฉินที่มีภาวะแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) หรือมีอาการบวมของทางเดินหายใจ ทำให้หลอดลมคลายตัวและเพิ่มความดันโลหิต

 

การรักษาประคับประคองและการดูแลผื่นลมพิษด้วยตนเองที่บ้าน (Supportive Care & Home Remedies):

  • การประคบเย็น: ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือ Cool pack ประคบบริเวณผื่น ช่วยลดอาการคันและบวมได้ชั่วคราว
  • โลชั่นคาลาไมน์ (Calamine lotion): ช่วยบรรเทาอาการคันได้บ้าง
  • การอาบน้ำเย็นหรือน้ำอุ่น (ไม่ร้อนจัด): ใช้สบู่อ่อนๆ ที่ไม่ระคายเคืองผิว
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย: เนื้อผ้านุ่ม ไม่ระคายเคืองผิว เช่น ผ้าฝ้าย
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้อาการแย่ลง: เช่น ความร้อน, การดื่มแอลกอฮอล์, ความเครียด

การป้องกันโรคลมพิษ: ลดความเสี่ยงและควบคุมอาการ

วิธีป้องกันลมพิษที่ดีที่สุดคือการทราบและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น หากไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ให้ปฏิบัติตัวดังนี้:

  • สังเกตและจดบันทึก: พยายามสังเกตว่ามีอะไรที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น อาหาร ยา กิจกรรม สภาพอากาศ
  • ดูแลสุขภาพโดยรวม:
    • พักผ่อนให้เพียงพอ
    • จัดการกับความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การออกกำลังกาย, การทำสมาธิ
    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลากหลาย
  • ระมัดระวังการใช้ยา: แจ้งประวัติการแพ้ยาให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้ง หากจำเป็นต้องใช้ยาใหม่ ให้สังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
  • ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการลมพิษบ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน?

ควรรีบไปพบแพทย์หรือไปยังห้องฉุกเฉินทันที หากมีอาการดังต่อไปนี้ร่วมกับผื่นลมพิษ:

  • หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรติดคอ
  • ริมฝีปาก ลิ้น หรือในคอบวมมาก
  • เสียงแหบ
  • เวียนศีรษะ หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • คลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้องรุนแรง

เมื่อเป็นโรคลมพิษ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร

  • ควรออกจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงหรือสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
  • ไม่ควรสัมผัสกับผื่นลมพิษโดยตรง
  • ทำความสะอาดผิวหนังด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือ แล้วเช็ดให้แห้ง
  • ทายาแก้อาการลมพิษหรือรับประทานยาให้ครบ
  • ไม่ควรเครียด วิตกกังวล และควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ

 

วิธีป้องกันอาการลมพิษที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงหรือสิ่งเร้าต่างๆ รอบตัว เช่น อาหาร ยา สารกระตุ้น หรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ หากคุณมีประวัติของการเกิดลมพิษจึงควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอ ระมัดระวังการใช้ยาให้ถูกต้องและเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวต่างๆ ที่ต้องใช้ยาในการรักษาโรคเป็นประจำ นอกจากนี้ ควรหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และยังเป็นการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้นอีกด้วย

คำถามที่พบบ่อย (12)

คำถามที่พบบ่อย