โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง ที่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยๆ ผิวหนังจะอักเสบเป็นปื้นแดง ลอกเป็นขุย สามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ แต่พบมากในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในช่วง 50-60 ปี
โรคสะเก็ดเงิน คืออะไร
อาการของ โรคสะเก็ดเงิน
อาการของโรคสะเก็ดเงินอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ลักษณะที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่:
- ผื่นแดง (Erythematous plaques): ผิวหนังเป็นปื้นนูนแดงหนา ขอบเขตชัดเจน
- สะเก็ดสีเงิน (Silvery scales): มีขุยหรือสะเก็ดสีขาวคล้ายเงินปกคลุมบนผื่นแดง เมื่อขูดออกอาจพบจุดเลือดซิบๆ
- อาการคัน: ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการคัน ซึ่งอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
- ตำแหน่งที่พบบ่อย: มักพบบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อยๆ เช่น ข้อศอก, หัวเข่า, หนังศีรษะ, หลังส่วนล่าง แต่ก็สามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงเล็บและข้อต่อ
- ความผิดปกติของเล็บ: เล็บอาจมีลักษณะเป็นหลุม, หนาตัวขึ้น, หรือเปลี่ยนสี
- อาการปวดข้อ: ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการของโรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic Arthritis) ร่วมด้วย
สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน


สาเหตุหลักของโรคสะเก็ดเงินยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับ 2 ปัจจัยหลักคือ พันธุกรรม และ ระบบภูมิคุ้มกัน
- พันธุกรรม (Genetics) หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ ก็จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
- ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ (Immune System Dysfunction) ร่างกายเข้าใจผิดว่าเซลล์ผิวหนังเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงส่งเซลล์เม็ดเลือดขาว (T-cells) มาโจมตี ทำให้เกิดการอักเสบและกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วกว่าปกติหลายเท่า
ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบ (Triggers)
แม้จะมีปัจจัยทางพันธุกรรมอยู่แล้ว แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการกำเริบเมื่อเจอกับปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้:
- ความเครียด เป็นปัจจัยกระตุ้นที่พบบ่อยที่สุด
- การติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียในลำคอ (Strep throat)
- การบาดเจ็บของผิวหนัง เช่น แผลถลอก, รอยขีดข่วน, หรือแม้แต่การเกาอย่างรุนแรง
- ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันบางกลุ่ม, ยาลิเทียม, ยาต้านมาลาเรีย
- การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
- สภาพอากาศ อากาศที่แห้งและเย็นอาจทำให้อาการแย่ลง
โรคสะเก็ดเงินมีกี่ประเภท?
โรคสะเก็ดเงินสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะของผื่น:
- สะเก็ดเงินชนิดผื่นหนา (Plaque Psoriasis): พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 80-90%) มีลักษณะเป็นปื้นแดงหนาและมีสะเก็ดสีเงินปกคลุม
- สะเก็ดเงินชนิดหยดน้ำ (Guttate Psoriasis): มักพบในเด็กและวัยรุ่นหลังการติดเชื้อในลำคอ มีลักษณะเป็นตุ่มแดงเล็กๆ คล้ายหยดน้ำกระจายทั่วตัว
- สะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง (Pustular Psoriasis): เป็นชนิดที่พบไม่บ่อย มีลักษณะเป็นตุ่มหนองสีขาวบนผิวหนังที่แดงอักเสบ
- สะเก็ดเงินบริเวณซอกพับ (Inverse Psoriasis): เกิดบริเวณข้อพับต่างๆ เช่น รักแร้, ขาหนีบ, ใต้ราวนม มีลักษณะเป็นผื่นแดงเรียบ มันวาว และไม่มีขุย
- ข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic Arthritis): ผู้ป่วยประมาณ 30% จะมีอาการข้ออักเสบร่วมด้วย ทำให้มีอาการปวด, บวม, และฝืดแข็งตามข้อต่างๆ
แนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงิน
การรักษาโรคสะเก็ดเงิน คือการควบคุมอาการ ลดการอักเสบ ชะลอการแบ่งตัวของเซลล์ผิว และทำให้โรคอยู่ในระยะสงบให้ยาวนานที่สุด ซึ่งแพทย์จะเลือกแนวทางที่เหมาะสมตามความรุนแรงและประเภทของโรค
- ยาทาภายนอก (Topical Treatment): เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง
- ยาทาสเตียรอยด์: ช่วยลดการอักเสบและอาการคันได้อย่างรวดเร็ว แต่ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง
- ยาทาวิตามินดีสังเคราะห์: ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์ผิว
- สารช่วยผลัดเซลล์ผิว (Keratolytic agents): เช่น Salicylic acid, Urea ช่วยลดความหนาของสะเก็ด
- การฉายแสงอาทิตย์เทียม (Phototherapy): เป็นการใช้รังสีอัลตราไวโอเลต (UVB) ในการรักษา ซึ่งได้ผลดีกับผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง
- ยารับประทานและยาฉีด (Systemic & Biologic aeds): สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น เช่น ยาปรับภูมิคุ้มกันและยาฉีดชีวภาพ ซึ่งออกฤทธิ์โดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกัน
การดูแลผิวและรักษาความชุ่มชื้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน


การใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นเป็นการดูแลพื้นฐานที่จำเป็น นอกจากนั้น การรักษาโรคสะเก็ดเงินโดยใช้ยาทาสเตียรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบของผิวก็มีความจำเป็น แต่ควรใช้ในช่วงเวลาสั้นๆ
ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นแบบเคลือบผิว มีส่วนช่วยให้ลดอาการเป็นขุยและใช้เคลือบผิวเพื่อป้องกันน้ำสูญเสียออกจากผิว และยังมีสารให้ความชุ่มชื้นแบบอื่นๆ คือ สารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติผิว (NMFs) ช่วยเพิ่มการยึดเกาะโมเลกุลของน้ำไว้ภายในเซลล์ผิว นอกจากนั้นยังมีสาร กลูโค-กลีเซอรอล ช่วยเพิ่มการส่งผ่านน้ำจากเซลล์สู่เซลล์ในชั้นผิวที่ลึกลงไป
การใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว จำเป็นต้องใช้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาการที่ผิวจะหายไปแล้วก็ตาม เพื่อช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำ


- สารที่ช่วยลอกผิว (Keratolytic agents) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายและเสื่อมสภาพแล้ว ให้หลุดลอกออกไป และเกิดการสร้างผิวใหม่ เพื่อลดการเกิดขุย และปื้นแข็งที่ผิวหนังยูเรีย เป็นสารประเภทหนึ่งที่ นอกจากจะมีคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยในการลอกผิวได้อีกด้วย
- ยาทาสเตียรอยด์ ช่วยลดอาการอักเสบของผิว ทำให้ปืนสีแดงที่ผิวลดลง ไม่ควรใช้เป็นระยะเวลานาน และควรใช้ร่วมกับสารให้ความชุ่มชื้น
- วิตามิน ดี นิยมใช้ในคนที่มีปัญหา สะเก็ดเงินเรื้อรัง
แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวบอบบางเป็นสะเก็ดเงิน
Eucerin OMEGA ATO-CALMING BATH & SHOWER OIL
เริ่มต้นด้วย Eucerin AtoControl OMEGA ATO CALMING BATH AND SHOWER OIL ผลิตภัณฑ์ออยล์อาบน้ำที่ช่วยทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนโดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง ด้วยส่วนผสมของ Omega 3 & 6 fatty acids ช่วยเติมไขมันที่จำเป็นให้ผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและลดความรู้สึกแห้งคันตั้งแต่ขั้นตอนแรก

Eucerin OMEGA ATO-CALMING FACE CREAM
หลังอาบน้ำ ซับตัวเบาๆ แล้วบำรุงผิวทันทีด้วย Eucerin OMEGA ATO-CALMING FACE CREAM บาล์มเนื้อเข้มข้นแต่ซึมซาบเร็ว ที่มีส่วนผสมของ Licochalcone A สารสกัดจากธรรมชาติช่วยลดการอักเสบและอาการแดง, Ceramides ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง และ Shea Butter ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยาวนาน การใช้บาล์มเป็นประจำจะช่วยลดปัญหาผิวแห้ง ลอกเป็นขุย และอาการคันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผิวรู้สึกสบายขึ้นและลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) (4)
-
โรคสะเก็ดเงินติดต่อได้หรือไม่?
ไม่ติดต่อ โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค จึงไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสได้ -
โรคสะเก็ดเงินรักษาให้หายขาดได้ไหม?
ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการของโรคให้อยู่ในระยะสงบ (Remission) ได้เป็นเวลานาน ด้วยการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ -
อาหารชนิดไหนที่ควรหลีกเลี่ยง?
แม้จะไม่มีข้อห้ามที่ชัดเจน แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแย่ลงเมื่อรับประทานอาหารบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์, อาหารแปรรูป, อาหารที่มีไขมันสูง ควรเน้นทานอาหารต้านการอักเสบ เช่น ผัก, ผลไม้, และปลาที่มีไขมันโอเมก้า 3 -
ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?
ควรไปพบแพทย์ผิวหนังทันทีที่สงสัยว่าตนเองอาจเป็นโรคสะเก็ดเงิน หรือเมื่ออาการที่เป็นอยู่กำเริบรุนแรงขึ้น, กระจายตัวเป็นวงกว้าง, หรือมีอาการปวดบวมตามข้อร่วมด้วย เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง