เมื่ออายุเริ่มเยอะขึ้น ย่อมเกิดริ้วรอยแห่งวัยที่เพิ่มมากขึ้น ผิวเริ่มไม่กระชับมีริ้วรอย หย่อนคล้อย หรือจุดด่างดำ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของเรตินอลอย่างมอยเจอร์ไรเซอร์ เซรั่ม ครีมบำรุงหน้า สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยให้ตื้นขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ แล้วควรใช้อะไรจึงจะได้ผลในการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเนียนนุ่มอิ่มฟูอีกครั้ง พร้อมรับมือกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างถูกวิธี
เรตินอล คืออะไร?
เรตินอล คือ อนุพันธ์ของวิตามินเอบริสุทธิ์ เป็นสารที่จัดอยู่ในกลุ่ม เรตินอยด์ (retinoids) ส่วนใหญ่จะใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย สามารถลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูผิว เช่น ริ้วรอยเล็กๆ ที่เกิดขึ้นตามวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 30-40+ และมีส่วนช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวให้ริ้วรอยลดเลือนและเรียบเนียนขึ้น ซึ่งเรตินอลด์มีหลายชนิดที่มีความแรงและรูปแบบการใช้งานต่างกัน
- เรตินิล เอสเตอร์ (Retinyl Esters): เช่น Retinyl Palmitate เป็นรูปแบบที่อ่อนโยนที่สุด ต้องผ่านหลายขั้นตอนการเปลี่ยนรูปในผิวหนังจึงจะออกฤทธิ์ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผิวบอบบางมาก
- เรตินอล (Retinol): เป็นรูปแบบที่นิยมใช้ในสกินแคร์ทั่วไป (OTC) มีประสิทธิภาพสูงกว่าเอสเตอร์ ต้องการการเปลี่ยนรูป 2 ขั้นตอนในผิวหนัง
- เรตินาลดีไฮด์ (Retinaldehyde หรือ Retinal): มีความแรงมากกว่าเรตินอล ต้องการการเปลี่ยนรูปเพียงขั้นตอนเดียวเพื่อเป็นกรดเรติโนอิก ออกฤทธิ์เร็วกว่า แต่ก็อาจระคายเคืองได้มากกว่า (ยังหาซื้อได้ทั่วไปในบางประเทศ)
- กรดเรติโนอิก (Retinoic Acid): เช่น Tretinoin (ชื่อการค้าที่คุ้นเคยคือ Retin-A) และ Adapalene (Differin) เป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้เลย (Active Form) มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ก็ระคายเคืองได้มากที่สุด จัดเป็นยาและต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น มักใช้ในการรักษาสิวและริ้วรอยที่ชัดเจน
เรตินเอ คืออะไร ต่างจากเรตินอลอย่างไร
เรตินอล (Retinol) และ เรตินเอ (Retin-A) เป็นวิตามินเอเช่นเดียวกัน แต่ความแรง การใช้งาน และผลข้างเคียงแตกต่างกัน เรตินเอส่วนมากจะผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น และอาจระคายเคืองได้ง่ายกว่า ปกติแล้วจะใช้สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเป็นหลักเพราะมีส่วนช่วยในการลดสิวอุดตัน สำหรับเรตินอลถึงจะมีประสิทธิภาพลดน้องลงแต่มีความอ่อนโยนกว่า จึงมักใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยแก้ปัญหา
เรตินอล (Retinol) มีความสำคัญอย่างไร ทำงานอย่างไรต่อผิว
ช่วยผลัดเซลล์ผิว
เรตินอลเป็นตัวช่วยในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพให้เผยผิวใหม่ที่สดใส เรียบเนียน และช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
เรตินอลมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยทำให้ผิวเต่งตึง ยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอย และรอยเหี่ยวย่น
ลดการอุดตัน (Reduced Comedones)
การผลัดเซลล์ผิวที่เร็วขึ้นช่วยป้องกันการสะสมของเซลล์ผิวเก่าและน้ำมันในรูขุมขน ลดการเกิดสิวอุดตัน (ทั้งสิวหัวดำและหัวขาว)
ลดเลือนรอยสิว
เรตินอลจะช่วยลดการอักเสบของสิว ควบคุมความมันบนใบหน้า และช่วยผลัดเซลล์ผิวให้จุดด่างดำ รอยดำจากสิว และฝ้ากระจ่างใสขึ้น
ประโยชน์ของการใช้ เรตินอล
ประโยชน์เรตินอลเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการต่อต้านริ้วรอย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยลดเลือนริ้วรอยและปรับผิวที่หมองคล้ำให้สว่างสดใส แลดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น เรตินอลมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหารอยดำ ทำให้ผิวพรรณสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น และเสริมเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส เรียบเนียน รวมไปถึงมีประโยชน์ในการควบคุมการผลิตน้ำมันและลดขนาดรูขุมขน ลดการอุดตันที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว และฟื้นฟูคอลลาเจนที่เสียหายจากมลภาวะหรือแสงแดดในระหว่างวันได้เป็นอย่างดี

วิธีการใช้เรตินอล
- ปกติแล้วจะแนะนำให้ใช้เรตินอลในช่วงเวลากลางคืน เนื่องจากเรตินอลอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ในบางคนที่มีผิวบอบบาง และเรตินอลมีความไวต่อแสงค่อนข้างมาก
- สำหรับใครที่ต้องการใช้ในตอนเช้า แนะนำว่าควรทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันแสงแดดหรือรังสี UV ที่จะมาทำปฎิกิริยากับเรตินอล
เทคนิคการใช้เรตินอลในการบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพ
ควรเริ่มใช้เรตินอลในปริมาณที่น้อยหรือมีความเข้มข้นต่ำ เพราะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย เพื่อให้ผิวได้ทำความคุ้นเคยกับเรตินอลในการปรับสภาพผิวและเพื่อทดสอบการแพ้ของผิวด้วย ไม่ควรใช้เรตินอลคู่กับสกินแคร์ที่มีวิตามินซี เพราะเรตินอลอาจทำให้ผิวที่บอบบางมีความแห้งมากขึ้นจนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
ความถี่ในการใช้เรตินอล
- ในสัปดาห์แรก ให้ใช้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
- ในสัปดาห์ที่ 2 เพิ่มความถี่ในการใช้เป็น วันเว้นวัน
- ในสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้นไปสามารถใช้ทุกคืนได้
ข้อควรระวังในการใช้เรตินอล
- อาจเกิดการระคายเคืองต่อผิว เรตินอลอาจทำให้ผิวแห้ง ลอก แดง ระคายเคือง ควรเริ่มใช้ทีละน้อย ทาเฉพาะตอนกลางคืน และในช่วงเริ่มต้นควรใช้แค่สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
- ผิวไวต่อแสง เพราะเรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสงแดด ถ้าใช้เรตินอลในช่วงเช้าควรทากันแดดเป็นประจำ
- สตรีมีครรภ์ ผู้ให้นมบุตร และใครที่มีผิวแพ้ง่าย ไม่ควรใช้เรตินอล หากต้องการใช้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้เรตินอล
รับมือกับผลข้างเคียง: การปรับสภาพผิว (Retinization) และการจัดการ
ในช่วงแรกของการใช้เรตินอล (ประมาณ 2-6 สัปดาห์) ผิวอาจอยู่ในช่วงปรับตัวที่เรียกว่า Retinization ซึ่งอาจพบอาการเหล่านี้ได้:
- ผิวแห้ง (Dryness)
- ผิวลอกเป็นขุย (Peeling/Flaking)
- ผิวแดง (Redness)
- รู้สึกแสบหรือคันเล็กน้อย (Mild Stinging/Itching)
- การดันสิว (Purging): เรตินอลเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้สิวอุดตันที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวถูกดันขึ้นมาบนผิวหนัง อาจดูเหมือนสิวเห่อขึ้นชั่วคราวในบริเวณที่เคยมีสิว มักเกิดขึ้นในช่วง 2-4 สัปดาห์แรก และจะค่อยๆ ดีขึ้น ต่างจากการแพ้ ซึ่งมักมีอาการบวม แดงจัด หรือมีผื่นคันกระจายทั่วบริเวณที่ไม่ได้มีแนวโน้มเป็นสิวมาก่อน
วิธีลดและจัดการผลข้างเคียง:
- ให้ความชุ่มชื้นอย่างเพียงพอ: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เน้นการปลอบประโลมและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว (มองหาส่วนผสม เช่น Ceramides, Cholesterol, Fatty Acids, Hyaluronic Acid, Glycerin, Niacinamide) ทาทั้งก่อนและหลัง หรือหลังทาเรตินอล
- เทคนิค Buffering: ทามอยส์เจอไรเซอร์บางๆ ก่อนทาเรตินอล เพื่อสร้างชั้นกันชน ลดการระคายเคือง (อาจลดประสิทธิภาพลงเล็กน้อย แต่ดีสำหรับผิวแพ้ง่าย)
- เทคนิค Sandwich Method: ทามอยส์เจอไรเซอร์ -> รอให้ซึม -> ทาเรตินอล -> รอให้ซึม -> ทามอยส์เจอไรเซอร์ทับอีกชั้น วิธีนี้ช่วยลดการระคายเคืองได้ดีมาก
- ลดความถี่: หากเกิดการระคายเคืองมาก ให้ลดความถี่ในการใช้ลง หรือหยุดใช้ชั่วคราว 2-3 วัน แล้วค่อยกลับมาใช้ใหม่ที่ความถี่น้อยลง
- อดทน: ช่วงปรับสภาพผิวต้องใช้เวลา อย่าเพิ่งท้อถอยหากไม่เห็นผลทันทีหรือมีอาการระคายเคืองเล็กน้อย
เรตินอลกับส่วนผสมอื่นๆ อะไรควรเลี่ยง? อะไรใช้ร่วมกันได้?
ควรเลี่ยงใช้ในเวลาเดียวกัน (อาจสลับวันเช้า/เย็น หรือคนละวัน):
- วิตามินซี (Vitamin C): ทำงานได้ดีใน pH ที่ต่างกัน และการใช้ร่วมกันอาจเพิ่มการระคายเคือง (แนะนำ: วิตามินซีตอนเช้า, เรตินอลตอนกลางคืน)
- กรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA): เช่น Glycolic Acid, Lactic Acid, Salicylic Acid การใช้ร่วมกับเรตินอลอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองมากเกินไป (แนะนำ: ใช้สลับวัน หรือใช้คนละเวลาห่างกันมากๆ หากผิวแข็งแรงมากจริงๆ)
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): อาจลดประสิทธิภาพของกันและกัน และเพิ่มความเสี่ยงในการระคายเคือง
ใช้ร่วมกันได้ดี (เสริมประสิทธิภาพ/ลดระคายเคือง):
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยลดการระคายเคืองจากเรตินอล เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว และช่วยเรื่องความกระจ่างใสได้ดี สามารถทาก่อนหรือหลังเรตินอล
- กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid): ช่วยเติมความชุ่มชื้น ลดความแห้งตึง
- เซราไมด์ (Ceramides), เปปไทด์ (Peptides): ช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิว
การใช้เรตินอลตอบโจทย์กับปัญหาผิวของคุณจริงหรือไม่
สำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยตามวัยหรือก่อนวัย มักเกิดจากปัญหาที่ผิวหนังของเราขาดความชุ่มชื้นหรือการผลิตคอลลาเจนที่ลดน้อยลงไป ไม่ว่าจะจากช่วงอายุหรือมลภาวะที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน หรือแม้แต่การผลัดเซลล์ผิวเพื่อให้ผิวใหม่ขึ้นมาแทนเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำ ก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้องเท่าไหร่ เพราะการที่ผิวเราหมองคล้ำเกิดจากเซลล์เม็ดสีเมลานิน ซึ่งถ้าเมลานินยังทำงานอยู่ก็ทำให้ผิวหน้าของเรายังคงหมองคล้ำอยู่เหมือนเดิม
สำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย
แนะนำผลิตภัณฑ์ Eucerin HYALURON RADIANCE-LIFT FILLER 3D SERUM หรือ Eucerin HYALURON [3X]+ FILLER OVERNIGHT TREATMENT ที่ช่วยเติมเต็มปัญหาริ้วรอยได้อย่างตรงจุด จากการผสานไฮยาลูรอนโมเลกุลเล็กและใหญ่ ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นและริ้วรอยได้ตั้งแต่ผิวชั้นแรกทำให้ผิวแน่นกระชับอิ่มฟู
สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ
ควรแก้ปัญหาอย่างตรงจุดโดยยับยั้งการทำงานของเมลานิน เพื่อลดสีผิวที่หมองคล้ำและจุดด่างดำ ไปจนถึงฝ้าแดด พร้อมลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ โดยการใช้ Eucerin EVEN SKIN SPOTLESS BRIGHTENING BOOSTER SERUM ที่มีส่วนผสมของ Thiamidol ที่เป็นสารเอกสิทธิ์เฉพาะของยูเซอริน ที่ช่วยปรับสีผิวได้ลึกถึงต้นตอ โดยไม่ทำให้ผิวไวต่อการเกิดจุดด่างดำ ลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ แนะนำให้ใช้คู่กับ Eucerin Sun Protection SUN SERUM SPOTLESS BRIGHTENING SPF50+ PA++++ กันแดดเนื้อเซรั่มบางเบา ที่ช่วยปกป้องผิวจากทุกมลภาวะ ทั้ง UVA/UVB พร้อม Thiamidol ที่ช่วยยับยั้งการเกิดเม็ดสี ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นได้ใน 2 สัปดาห์
การใช้เรตินอลเพื่อช่วยฟื้นคืนสภาพผิวที่สดใส ริ้วรอย จุดด่างดำต่างๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่การใช้เรตินอลนั้น ควรใช้ให้ถูกวิธีเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการคืนความเยาว์วัยให้กับผิวหน้า การใช้ในเวลากลางคืน ควรเริ่มต้นใช้แต่น้อยเพื่อปรับสภาพผิวให้คุ้นเคย โดยผู้ที่มีอายุ 20 ปลาย ถึง 30+ สามารถเริ่มต้นใช้ เรตินอลได้
คำถามที่พบบ่อย (10)
-
เรตินอล ช่วยอะไร
ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ ให้เผยผิวใหม่ที่สดใสและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และรอยเหี่ยวย่น และยังช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน จุดด่างดำจางลง รอยดำจากสิว และฝ้ากระจ่างใสขึ้น
-
เรตินอลห้ามใช้คู่กับอะไร
เรตินอลไม่ควรใช้คู่กับครีมหรือเซรั่มที่มี AHA, BHA, วิตามินซี และเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ เพราะอาจทำให้ผิวเกิดความระคายเคืองได้
-
Retinol ใช้ได้ทุกวันไหม
การใช้เรตินอลในช่วงแรก ให้ใช้สัปดาห์ละ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ทาเฉพาะตอนกลางคืน หากไม่มีผลข้างเคียง สามารถค่อยๆ เพิ่มความถี่การใช้เป็นวันเว้นวัน และเพิ่มเป็นทุกวันได้
-
เรตินอลทาตอนไหน
การทาเรตินอล แนะนำทาช่วงกลางคืนหรือก่อนนอน เพราะการทาตอนกลางคืนจะช่วยทำให้ผิวได้มีเวลาพักและฟื้นฟูผิว และก่อนออกจากบ้านในช่วงเช้าควรทากันแดดเป็นประจำ
-
ต้องเริ่มใช้เรตินอลที่ความเข้มข้นเท่าไหร่?
ผู้เริ่มต้นควรเริ่มที่ความเข้มข้นต่ำ เช่น 0.01% - 0.3% เพื่อให้ผิวปรับตัวและลดความเสี่ยงในการระคายเคือง
-
จำเป็นต้องทาครีมกันแดดทุกวันเมื่อใช้เรตินอลหรือไม่? ทำไม?
จำเป็น เพราะเรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น การไม่ทากันแดดอาจทำให้ผิวคล้ำเสีย เกิดจุดด่างดำ และลดประสิทธิภาพของเรตินอล
-
วิธีลดอาการระคายเคือง ผิวแห้ง ลอกจากเรตินอลทำอย่างไร?
ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เยอะๆ เน้นส่วนผสมเสริมเกราะป้องกันผิว ลองใช้เทคนิค Buffering (ทามอยส์ฯ ก่อน) หรือ Sandwich (ทามอยส์ฯ ก่อนและหลัง) ลดความถี่ในการใช้ หรือพักผิวก่อน
-
การดันสิวจากเรตินอลคืออะไร? จะหายเมื่อไหร่?
การที่เรตินอลเร่งผลัดเซลล์ผิว ทำให้สิวอุดตันใต้ผิวถูกดันขึ้นมา มักเกิดในช่วง 2-4 สัปดาห์แรก และจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อใช้ต่อเนื่อง ควรแยกให้ออกจากอาการแพ้
-
ใช้เรตินอลนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
ผลลัพธ์เรื่องสิวและความเรียบเนียนอาจเห็นใน 4-8 สัปดาห์ ส่วนริ้วรอยและจุดด่างดำอาจใช้เวลา 3-6 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความสม่ำเสมอในการใช้
-
ใครไม่ควรใช้เรตินอล?
สตรีมีครรภ์, กำลังให้นมบุตร, ผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ และผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายมาก หรือมีโรคผิวหนังบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้