เคล็ดลับวิธีรักษารอยสิว – และทริคการเลือกสกินแคร์ดูแลสิวโดยเฉพาะ

เพราะปัญหาสิวไม่ได้หยุดอยู่แค่การเกิดสิว แต่ยังรวมไปถึงรอยแผลเป็น รอยดำและรอยแดงจากสิวที่หลงเหลือไว้ให้ดูต่างหน้า วิธีรักษารอยสิวจึงเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ แต่หลายครั้งดูเหมือนว่ายิ่งรักษารอยสิวเพื่อลดรอยสิว กลับมีสิวใหม่เพิ่มขึ้นมา วนเวียนเช่นนี้เรื่อยๆ จนท้อใจที่จะรักษา เสียทั้งเงิน เสียทั้งความมั่นใจ… มาดูกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แล้วเราจะมีวิธีรักษารอยสิวนี้อย่างไร?

ปัญหารอยแผลเป็นจากสิว หรือรอยดำ รอยแดงจากสิวนั้นเป็นผลมาจากกการอักเสบของสิวที่เกิดขึ้นในผิวหนัง โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 

1. รอยดำจากสิว เมื่อมีการอักเสบระคายเคืองขึ้นก็จะส่งผลต่อกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อบริเวณนั้น เกิดการ เพิ่มขึ้นของเม็ดสีเข้าไปในบริเวณผิวชั้นหนังแท้ ทำให้รอยสิวมีสีเข้มขึ้น (Post-Inflammatory Hyperpigmentation) อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรอยดำจากสิวได้ที่นี่
2. รอยแดงจากสิว หากการอักเสบนั้นมีการติดเชื้อร่วมด้วยก็จะเกิดการอักเสบมากกว่าปกติ และส่งผลให้เกิดความเสียหายถึงผิวชั้นใน หรือจากการบีบ แคะ แกะสิวจนเกิดอาการบวมช้ำ ทำให้เกิดรอยดังกล่าวขึ้น และเมื่อสิวหายมักจะปรากฏเป็นหลุมสิว อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับรอยแดงจากสิวได้ที่นี่

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเมื่อไรก็ตามที่เกิด “สิวอักเสบ” ซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มนูนๆ บวมแดง กดแล้วเจ็บเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเล็ก หรือเม็ดใหญ่ มีหนองบริเวณหัวสิวหรือไม่มี ลักษณะสิวเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดรอยสิวได้ทั้งสิ้น สิ่งที่ต้องระวังอย่างมากคือ การบีบสิว กดสิวด้วยตัวเอง เพราะหากทำอย่างผิดวิธีแล้วนั้น นอกจากสิวจะหายช้าหรืออักเสบรุนแรงขึ้นแล้ว ผลที่ตามมาคือรอยดำและแผลสิวก็จะรุนแรงและรักษายากขึ้นด้วย

ในการรักษารอยสิว โดยส่วนมากแล้วเรามักจะเริ่มใส่ใจหลังจากเกิดรอยสิวขึ้นมาแล้ว หากไม่นับวิธีการรักษาโดยการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น การทำเลเซอร์ การกรอผิว IPL ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วิธีรักษารอยสิว หรือวิธีลดรอยสิวทั่วไปที่ได้ผลดีและเป็นที่นิยม คือ

• การใช้ยาในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) ที่มีกลไกช่วยผลัดเซลล์ผิว และลดจุดด่างดำจากรอยแผลสิวได้เป็นอย่างดี 
• การใช้ยาลดรอยแผลเป็นที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ เช่น วิตามินอี, วิตามินซี รวมไปถึงสารสกัดจากธรรมชาติอื่นๆ เข้ามาเป็นตัวช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ทำงานร่วมกับการต้านอนุมูลอิสระในผิว ให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น 
• การใช้สกินแคร์ เป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยรอยสิวที่นิยม เพราะส่วนผสมของสารเสริมการผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA ที่ช่วยลดรอยสิวได้ และเกิดผลข้างเคียงน้อย

อย่างไรก็ตาม สารสำคัญที่ช่วยลดรอยสิวนั้น ส่วนมากมีฤทธิ์ในการเร่งผลัดเซลล์ผิว จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บางครั้งที่ เมื่อรักษารอยสิวแล้ว กลับมีสิวอักเสบบริเวณอื่นเพิ่มขึ้นมา เพราะสารเหล่านี้ไปสร้างความระคายเคืองให้ผิวรอบข้าง ซึ่งอาจมีความไวต่อการเกิดสิวอยู่แล้ว หรืออาจทำให้สิวอักเสบบริเวณใกล้เคียงมีความรุนแรงมากขึ้น ปัญหาสิวจึงวนเวียนไม่หายขาดสักที

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ผ่านการวิจัยแล้วว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัย เหมาะกับผิวเป็นสิวโดยเฉพาะ จึงเป็นวิธีแก้ปัญหารอยสิวที่ดีอีกทางเลือกหนึ่งที่แพทย์ผิวหนังต่างแนะนำในช่วงหลังจากที่สิวดีขึ้นแล้ว โดยการเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวลดรอยที่เกิดจากสิว ควรมีคุณสมบัติดังนี้

• ลดการอุดตันในรูขุมขน เพื่อให้รูขุมขนสะอาด ลดโอกาสการอุดตันที่ทำให้เกิดการอักเสบจนเป็นสาเหตุให้เกิดรอยดำ รอยแดงในอนาคต เช่น สาร Salicylic acid เป็นต้น  
• ลดการเกิดรอยแดงและรอยดำ มีสารที่ช่วยดูแลปัญหารอยสิวได้ตั้งแต่แรกเริ่ม และช่วยปลอบประโลมผิวอ่อนแอจากการรักษาสิว เช่น สารสกัดลิโคชาลโคน เอ
• ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว (P.Acne) เพื่อเป็นการลดปัจจัยที่ทำให้ เกิดสิวซ้ำ เช่น สาร Decanediol
• ช่วยปรับสมดุลความมัน ควบคุมความมันส่วนเกินได้ยาวนาน 12 ชั่วโมง เช่น สาร Active L Carnitine

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ช่วยลดรอยดำ รอยแดงจากสิว สำหรับผู้มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ช่วยดูแลผิวที่มีปัญหารอยจากสิวและปรับให้ผิวดูสว่างกระจ่างใสขึ้นด้วย THIAMIDOL สารทรงพลังในการลดจุดด่างดำจากรอยสิว ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร เอกสิทธิ์เฉพาะของยูเซอริน และ Salicylic Acid (BHA) ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ลดรอยดำสิวฝังลึก พร้อมลดโอกาสรอยสิวเกิดซ้ำ ช่วยฟื้นบำรุงความชุ่มชื้นของผิวด้วย Panthenol ลดปัญหาการระคายเคือง

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าเป็นสิว Eucerin Pro ACNE SOLUTION SOS SERUM ที่ช่วยลดการอักเสบ ระคายเคืองสิวด้วย Licochalcone A และ Panthenol ช่วยปลอบประโลม และเสริมปราการผิว พร้อมควบคุมความมันส่วนเกินด้วย 2X Carnitine ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของสิวด้วย Decanediol พร้อมดูแลปัญหารอยดำรอยแดงจากสิวได้ถึงต้นตอด้วย AHA/BHA/PHA จบปัญหาสิวซ้ำซากใน 7 วัน และลดการอักเสบของสิวใน 8 ชม.

ในการจัดการกับปัญหาสิวนั้นจึงไม่ใช่แค่การรักษาตามอาการ แต่ต้องเข้าใจถึงความต่อเนื่องของการเกิดปัญหาสิวทั้งหมด และให้ความสำคัญตั้งแต่การดูแลผิวและฟื้นบำรุงผิวอย่างถูกวิธี เพื่อไม่ให้สิวกลับมาเป็นซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งเป็นวิธีดูแลรอยสิวตั้งแต่เนิ่นๆดีกว่าตามมารักษาในภายหลัง โดยเริ่มตั้งแต่การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ฝุ่นควัน การสัมผัสผิวหน้าบ่อยๆ ปล่อยให้เครื่องสำอางตกค้างบนผิวหน้า หรือใช้สารที่มีความระคายเคืองผิวจนเกิดการแพ้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การรักษาสิว รอยสิวใช้ระยะเวลาสั้นและทำให้ผิวหน้ากลับมาแข็งแรงสุขภาพดีได้เร็วขึ้น