โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง,โรคผิวหนังอักเสบ

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ – สาเหตุ อาการและแนวทางการดูแลรักษาที่ถูกต้อง

อ่านแล้ว 3 นาที
แสดงบทความเพิ่มเติม
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง,โรคผิวหนังอักเสบ

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่สร้างความทรมานจากอาการ ผิวแห้ง คัน และอักเสบ เป็นๆ หายๆ พบได้ทุกเพศทุกวัยตั้งแต่ทารกไปจนถึงผู้ใหญ่ แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ก็ส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวัน และสาเหตุไม่ใช่แค่พันธุกรรม แต่เกิดจาก "เกราะป้องกันผิว" ที่อ่อนแอ เพื่อให้ทุกคนสามารถดูแลรักษาผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้ถูกต้อง เรามาทำความรู้จักอาการและแนวทางรักษาไปพร้อมกัน

​​โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) คืออะไร?

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดที่พบบ่อยที่สุด มีลักษณะเด่นคือ กระบวนการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองไวผิดปกติ ร่วมกับโครงสร้าง เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ที่บกพร่อง ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายและถูกปัจจัยภายนอกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ตลอดเวลา โรคนี้มักพบร่วมกับโรคในกลุ่มภูมิแพ้อื่นๆ เช่น โรคหอบหืด และโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (แพ้อากาศ) ซึ่งเรียกรวมกันว่า "Atopic March"

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อย พบประมาณร้อยละ 10-17 ในเด็ก ในขณะที่ผู้ใหญ่มีโอกาสพบร้อยละ 9-15 อาการของโรคที่สำคัญคือ มีผิวหนังแห้งแดงอักเสบ มีอาการคันมาก ผิวหนังจะไวต่อสิ่งกระตุ้นภายนอกจึงทำให้มีผื่นขึ้นและมีอาการคันกำเริบเป็นระยะ ๆ

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง,โรคผิวหนังอักเสบ

อาการของโรคในแต่ละช่วงวัย

ลักษณะและตำแหน่งของผื่นจะแตกต่างกันไปตามอายุ:

  • วัยทารก (Infants, 0-2 ปี):
    • มักเริ่มมีผื่นแดง ตุ่มน้ำใส หรือน้ำเหลืองซึมบริเวณ แก้ม, หน้าผาก, หนังศีรษะ
    • อาจลามไปที่ลำตัว แขน และขาด้านนอก
    • อาการคันรุนแรงทำให้ทารกหงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ และพยายามถูหน้ากับที่นอน
  • วัยเด็ก (Children, 2-12 ปี):
    • ผื่นมักย้ายไปอยู่บริเวณ ข้อพับแขน, ข้อพับขา, คอ, ข้อมือ และข้อเท้า
    • ลักษณะผื่นจะแห้ง แดง และหนาขึ้นจากการเกาเรื้อรัง (Lichenification)
  • วัยรุ่นและผู้ใหญ่ (Adolescents and Adults):
    • ตำแหน่งผื่นคล้ายกับวัยเด็ก แต่บริเวณข้อพับจะเห็นได้ชัดกว่า
    • อาจพบผื่นบริเวณ ใบหน้า รอบดวงตา มือ และเท้า ได้บ่อย
    • ผิวโดยรวมจะแห้งมาก และมีอาการคันรุนแรงโดยเฉพาะช่วงกลางคืนหรือเมื่อมีเหงื่อออก

สาเหตุของ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังนี้ แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ พันธุกรรม เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้มักมีพ่อแม่หรือญาติใกล้ชิดเป็นโรคในกลุ่มภูมิแพ้ เช่น หอบหืด แพ้อากาศ และผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ร่วมกับโครงสร้างของผิวหนังที่ไม่สมบูรณ์ และการเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงทำให้เกิดโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในเด็ก

 

เมื่อผิวหนังไม่สมบูรณ์แข็งแรง สารระคายเคืองและสารก่อการแพ้จะผ่านเข้าสู่ผิวได้ง่าย ทำให้เกิดผื่นผิวหนังแห้ง แดง อักเสบ เป็นเหตุให้ผู้ป่วยเกิดอาการคันและเกามากจนเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังได้บ่อย

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการกำเริบของ โรคภูมิแพ้ผิวหนัง

ปัจจัยหลัก

  • พันธุกรรม (Genetics): หากพ่อแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีความเสี่ยงสูงขึ้น โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของยีนที่สร้างโปรตีน ฟิแลกกริน (Filaggrin) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเกราะป้องกันผิว
  • เกราะป้องกันผิวบกพร่อง (Skin Barrier Dysfunction): ผิวขาดสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติและ เซราไมด์ (Ceramide) ทำให้ผิวไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้และสารระคายเคืองสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย
  • ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ (Immune Dysregulation): ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ ไวเกินไป ทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนัง

ปัจจัยกระตุ้น (Triggers) ที่ทำให้อาการกำเริบ

  • สารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคือง: ไรฝุ่น, ขนสัตว์, ละอองเกสร, สบู่, ผงซักฟอก, น้ำหอม
  • สภาพอากาศ: อากาศที่แห้งและเย็น หรืออากาศที่ร้อนจนเหงื่อออกมาก
  • อาหาร: ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะเด็กเล็ก อาจถูกกระตุ้นโดยอาหาร เช่น นมวัว, ไข่, แป้งสาลี, ถั่ว (ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทดสอบ ไม่ควรงดเอง)
  • การติดเชื้อ: การติดเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus บนผิวหนังเป็นตัวกระตุ้นการอักเสบที่สำคัญ
  • ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ: เป็นตัวกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันแปรปรวนและทำให้อาการคันรุนแรงขึ้น
  • เสื้อผ้า: เนื้อผ้าที่ระคายเคือง เช่น ผ้าขนสัตว์ หรือผ้าใยสังเคราะห์

แนวทางการรักษา ผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

การรักษาผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอย่างเหมาะสม สามารถช่วยป้องกันการกำเริบของผื่น โดยมีเป้าหมาย คือ ควบคุมอาการอักเสบ ลดอาการคัน ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และป้องกันการกำเริบอยู่ในช่วงสงบนานที่สุดจนกว่าโครงสร้างของผิวหนังจะค่อย ๆ ดีขึ้น โดยแบ่งการรักษาผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเป็น 2 ส่วน

1. การดูแลพื้นฐานและฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว (สำคัญที่สุด)

เป็นการดูแลที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน แม้ในช่วงที่ผื่นสงบ

การอาบน้ำ:

  • อาบน้ำที่อุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป
  • ใช้เวลาอาบน้ำสั้นๆ เพียง 5-10 นาที
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนมาก ปราศจากสบู่ (Soap-free) น้ำหอม และมีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว (pH 4-6)

ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังมักแนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายในรูปแบบออยล์ (Oil-based cleanser) สำหรับผู้มีภาวะผื่นภูมิแพ้ผิวหนังโดยเฉพาะ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนพร้อมช่วยฟื้นบำรุงเกราะปกป้องผิว ไม่ทำให้ผิวแห้งตึงหลังอาบน้ำ ตัวอย่างเช่น Eucerin OMEGA ATO-CALMING BATH & SHOWER OIL ที่มีส่วนผสมของ Omega-3 & 6 fatty acids ช่วยเติมไขมันที่จำเป็นให้กับผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและลดความรู้สึกแห้งคันได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการดูแล

ออยล์อาบน้ำเติมผิวชุ่มชื้นและลดความรู้สึกแห้งคัน

การทาสารให้ความชุ่มชื้น (Moisturizer):

  • ทาทันทีหลังอาบน้ำภายใน 3 นาที เพื่อล็อกความชุ่มชื้นไว้ในผิว
  • ทาสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือบ่อยเท่าที่ต้องการ
  • เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ เซราไมด์ (Ceramide) และ โอเมก้า 6 (Omega-6 fatty acid) เพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว

สำหรับผิวซึ่งเป็นบริเวณที่บอบบางและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ครีมบำรุงที่ออกแบบมาสำหรับผิวบอบบางโดยเฉพาะ เพื่อจัดการกับปัญหาผื่นแดงและอาการคันได้อย่างตรงจุด เช่น Eucerin OMEGA ATO-CALMING FACE CREAM ซึ่งมีส่วนผสมของ Licochalcone A สารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองของผิว ร่วมกับ Omega-6 fatty acids ที่ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดโอกาสการกลับมาของผื่นซ้ำ สามารถทาได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย

ครีมบำรุงที่จัดการกับปัญหาผื่นแดงและอาการคัน

2. การรักษาทางการแพทย์ (เมื่อมีผื่นอักเสบ)

การรักษาเหล่านี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เสมอ

ยาทาเฉพาะที่ (Topical Medications):

  • ยาทากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Topical Corticosteroids): เป็นยาหลักในการลดการอักเสบ มีหลายระดับความแรง แพทย์จะเลือกให้เหมาะสมกับตำแหน่งและความรุนแรงของผื่น
  • ยาทากลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal): เช่น กลุ่ม Calcineurin inhibitors (Tacrolimus, Pimecrolimus) เหมาะสำหรับผิวบอบบาง เช่น ใบหน้า หรือใช้เพื่อควบคุมอาการในระยะยาว

ยารับประทาน (Oral Medications):

  • ยาแก้แพ้ (Antihistamines): ช่วยลดอาการคัน โดยเฉพาะชนิดที่ทำให้ง่วงซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นตอนกลางคืน
  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): ใช้ในกรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
  • ยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน: ใช้ในกรณีที่ผื่นกำเริบรุนแรงมาก โดยใช้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น

การรักษาอื่นๆ (Other Therapies):

  • การฉายแสง (Phototherapy): การใช้แสงอัลตราไวโอเลต (UV) ในการควบคุมการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีผื่นกระจายเป็นวงกว้างและไม่ตอบสนองต่อยาทา
  • การทำ Wet Wrap Therapy: เป็นการพันผิวด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ ทับบนยาทาและมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและประสิทธิภาพของยา

การรักษาสมัยใหม่ (Advanced Treatments):

  • สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก อาจมีการพิจารณาใช้ยาฉีดกลุ่มชีวภาพ (Biologics) หรือยากลุ่มใหม่ๆ ที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อการอักเสบ

การป้องกันโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

เนื่องจากผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเป็นโรคเรื้อรังที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมเกี่ยวข้อง การ "ป้องกัน" จึงมุ่งเน้นไปที่ การลดโอกาสเกิดผื่นกำเริบ สำหรับผู้ที่เป็นโรคแล้ว และ การลดความเสี่ยง สำหรับทารกที่ครอบครัวมีประวัติภูมิแพ้มาก่อน

การป้องกันการเกิดผื่นกำเริบ (สำหรับผู้ที่เป็นโรคแล้ว)

การป้องกันที่ดีที่สุด คือการดูแลผิวให้แข็งแรงและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอ

1. เสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงทุกวัน:

  • ทามอยเจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ: นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ควรทาทั่วร่างกายอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แม้ในวันที่ไม่มีผื่น เพื่อให้เกราะป้องกันผิวชุ่มชื้นและแข็งแรงอยู่เสมอ

2. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทราบ:

  • สารระคายเคือง: หลีกเลี่ยงสบู่ที่รุนแรง, ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม, แอลกอฮอล์ หรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • สภาพอากาศ: พยายามอยู่ในที่ที่อากาศไม่ร้อนหรือแห้งจนเกินไป ใช้เครื่องทำความชื้นในห้องนอนหากอากาศแห้งมาก
  • เหงื่อ: หลังออกกำลังกายหรือมีเหงื่อออกมาก ควรรีบอาบน้ำและทามอยเจอร์ไรเซอร์ทันที
  • อาหาร: หากสังเกตพบว่าอาหารชนิดใดทำให้อาการกำเริบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการทดสอบและวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม

3. เลือกเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ให้ดี:

  • สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้าย 100% ซึ่งนุ่มและระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงผ้าขนสัตว์หรือใยสังเคราะห์ที่อาจระคายเคืองผิว

4. จัดการความเครียดและนอนให้พอ:

  • ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นผื่นที่สำคัญ ควรหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสมกับตนเอง และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายและผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง

เอกสารอ้างอิง

  1. Kulthanan K, et al. Clinical practice guidelines for the diagnosis and management of atopic dermatitis. Asian Pac J Allergy Immunol 2021;39(3):145-55.
  2. Weidinger S, et al. Atopic dermatitis. Lancet 2016;387(10023):1109-22.
  3. Proksch E, et al. Role of the epidermal barrier in atopic dermatitis. J Dtsch Dermatol Ges 2009;7(10):899-910.
  4. Angelova-Fischer I, et al. A randomized, investigator-blinded efficacy assessment study of stand-alone emollient use in mild to moderately severe atopic dermatitis flares. J Eur Acad Dermatol Venereol 2014;28Suppl 3:9-15.
  5. Weber T, et al. Treatment of xerosis with a topical formulation containing glyceryl glucoside, natural moisturizing factors, and ceramide. J Clin Aesthet Dermatol 2012;5(8):29-39.
  6. Brandon DH, et al. Effectiveness of No-Sting skin protectant and Aquaphor on water loss and skin integrity in premature infants. J Perinatol 2010;30(6):414-9.
  7. Misery L, et al. Real-life study of anti-itching effects of a cream containing menthoxypropanediol, a TRPM8 agonist, in atopic dermatitis patients. J Eur Acad Dermatol Venereol 2019;33(2):e67-9.
  8. Wisuthsarewong W, et al. The validity and reliability of the Thai version of Children's Dermatology Life Quality Index (CDLQI). J Med Assoc Thai 2015;98(10):968-73.

บทความเกี่ยวข้อง

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง