หลุมสิว เป็นเรื่องของปัญหาผิวในปัจจุบัน นอกจากจะเป็นเรื่องผิวเป็นสิว ผิวมีแนวโน้มแพ้ง่ายแล้ว ปัญหาผิวไม่เรียบเนียนเป็นหลุมสิวนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่กวนใจสาวๆ ไม่น้อย การรักษาหลุมสิว จึงเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน มีคอร์สรักษาหลุมสิว ลดหลุมสิวเกิดขึ้นมากมาย แต่จะดีกว่า ถ้าเรามีวิธีในการป้องกันการเกิดหลุมสิว ก่อนที่กลายเป็นปัญหารอยหลุมสิวในอนาคต ใครที่รู้สึกว่าอยากให้ผิวเรียบเนียน มั่นใจในผิวหน้ามากขึ้น วันนี้เรามีคำแนะนำดีๆ ในการดูแลหลุมสิวมาแนะนำกัน
หลุมสิว คืออะไร ?
หลุมสิว (Atrophic Scars) คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบ จะมีลักษณะพื้นผิวเป็นรอยบุ๋มลงไป เมื่อเทียบกับผิวหนังในบริเวณใกล้เคียง หลุมสิวจะเกิดขึ้นหลังจากการอักเสบของสิวหายแล้ว ซึ่งสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าว่าดูไม่เรียบเนียนเสมอกัน ซึ่งเป็นไปได้ว่ารักษาสิวผิดวิธี ทำให้แผลบริเวณดังกล่าวนั้นไม่สามารถสมานได้อย่างสมบูรณ์
หลุมสิวเกิดจากอะไร ?
สาเหตุหลักๆ ในการเกิดหลุมสิว คือการรักษาสิวที่ผิดวิธี อาจเป็นการกดหรือบีบสิวในชั้นผิวที่ลึก ก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือการอักเสบของผิว ทำให้การซ่อมแซมผิวหนังจากคอลลาเจนและเนื้อเยื่อนั้นสร้างขึ้นไม่เพียงพอ เมื่อแผลหายแล้ว แต่บริเวณดังกล่าวก็ไม่สามารถกลับมาเรียบเนียนได้ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ความตึงบริเวณแผล การหดรั้งของแผล เป็นต้น
ปกติแล้วกระบวนการซ่อมแซมผิวหนัง จะใช้เวลา 7-10 วันในการรักษาแผลจากสิว แต่ถ้าหากกระบวนการซ่อมแซมไม่สมบูรณ์จากการอักเสบอย่างรุนแรงของสิว หรือได้รับผลกระทบจากภายนอก เช่น การบีบสิว กดสิว ที่อาจทำให้เกิดการอักเสบบริเวณผิวหนัง ก็จะทำให้เกิดการยุบตัวลงของผิว จนเกิดรอยแผลเป็นและหลุมสิว
สิวแบบไหนที่มักจะทำให้เกิดหลุมสิว
สิวหัวช้าง (Cyst)
สิวหัวช้าง ที่มีขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นตุ่มบวม ที่เกิดจากการอักเสบในต่อมไขมันใต้ผิวหนัง การรักษาใช้เวลานานและหายยาก
สิวอักเสบ (Pustule)
สิวอักเสบ มักจะทำลายเซลล์ผิวที่อยู่ใต้ผิวหนังและคอลลาเจนในชั้นผิว การรักษาสิวอักเสบที่ไม่เหมาะสม จะทำให้เมื่อสิวอักเสบหายจะทิ้งแผลเป็นจากสิวหรือหลุมสิวเอาไว้
หลุมสิวมีกี่ประเภท
สำหรับประเภทของหลุมสิวที่สามารถเกิดขึ้นได้บนผิวหน้าของเรานั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท นั่นก็คือ
1. หลุมสิวประเภท Ice Pick Scars
- หลุมสิวประเภทนี้ มีลักษณะรอยแผลลึก ปากแผลแคบ ขอบแผลไม่เรียบ ก้นของแผลนั้นคล้ายกับกรวย มีความลึกถึงหนังกำพร้าหรือเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง โดยความลึกของแผลน้อยกว่า 2 มิลลิเมตร
- บริเวณที่เป็นมักอยู่ที่แก้ม ซึ่งถือเป็นหลุมสิวที่รุนแรงและรักษายากที่สุด ในทางแพทย์นั้นจะแบ่งลักษณะรอยแผลออกเป็น 2 ประเภท คือ รอยแผลชนิดตื้น ความลึก 0.1 – 0.5 มิลลิเมตร และ รอยแผลชนิดลึก มีความลึกมากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 มิลลิเมตร
2. หลุมสิวประเภท Boxcar Scar
- หลุมสิวประเภทนี้ มีลักษณะเหมือนกล่อง ความกว้างปากหลุมและก้นหลุมเท่ากัน ขอบชัดเจน รอยแผลมักกว้าง 3-4 มิลลิเมตร เป็นวงกลมหรือวงรี ซึ่งมีทั้งแบบลึกและตื้น
- สาเหตุของหลุมสิวนั้น นอกจากมาจากสิวแล้ว ยังสามารถเกิดจากแผลอีสุกอีใสได้อีกด้วย
3. หลุมสิวประเภท Rolling Scar
- หลุมสิวประเภทนี้ มีลักษณะรอยแผลกว้างลาดลึกลงชั้นใต้ผิว โค้งคล้ายก้นกระทะ มักมีขนาดกว้าง 4-5 มิลลิเมตร
- รอยแผลเป็นชนิดนี้มีลักษณะเหมือนคลื่น เกิดจากเนื้อเยื่อพังผืดดึงรั้งชั้นตั้งแต่หนังแท้ถึงเนื้อใต้ผิวหนังลงไป
วิธีรักษาหลุมสิวและลดรอยหลุมสิว
ในปัจจุบันนี้มีวิธีรักษาหลุมสิวและลดรอยหลุมสิวที่หลากหลายเป็นอย่างมาก ที่ช่วยเติมหลุมสิวให้ตื้นขึ้น แต่วิธีรักษาหลุมสิวแต่ละประเภทจะขึ้นอยู่กับอาการและระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้น 3 วิธีการรักษาที่น่าสนใจได้แก่
วิธีที่ 1 การรับประทานยาและวิตามินประเภท B5 หรือ Zinc
วิธีรักษาหลุมสิวแบบนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน และการรับประทานยาอาจเกิดผลข้างเคียงอย่าง ปากแห้ง ผิวแห้ง ได้ จึงควรได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ
วิธีที่ 2 การทำเลเซอร์หลุมสิวรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยฟื้นฟูหลุมสิวให้ตื้นขึ้น
วิธีเลเซอร์หลุมสิวได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเห็นผลได้ไวแต่ก็มาพร้อมราคาค่อนข้างสูง เพราะนวัตกรรมในยุคใหม่ที่พัฒนาขึ้น จะเข้าไปช่วยสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของหลุมสิว บางรายอาจรู้สึกว่าผิวบริเวณนั้นตื้นขึ้น แต่ก็จะไม่ได้รักษาได้อย่างหายขาด 100% อาจเติมเต็มได้มากสูงสุดที่ 70-80% ซึ่งก็ถือว่ามากแล้ว
วิธีที่ 3 การรักษาหลุมสิวด้วยการกรอผิว (Dermabrasion)
กรอผิวเป็นการรักษาหลุมสิวโดยการใช้เกล็ดอัญมณี ในการกรอผิวหนังบริเวณที่เกิดหลุมสิว เพื่อเปิดผิวและซ่อมแซมให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา วิธีนี้จะช่วยเรื่องหลุมสิวที่มีความกว้างแต่ค่อนข้างตื้นได้ดี และช่วยลดรอยสิว รอยจุดด่างดำ ต่างๆให้ลดเลือนลงด้วย แต่วิธีนี้ค่อนข้างเป็นวิธีที่ต้องระวัง เนื่องจากเป็นการทำให้ผิวหนังบางขึ้น จนเกิดการระคายเคืองผิวได้ง่าย ต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการทำ ใช้เวลานานในการรักษาเพราะต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง
วิธีที่ 4 การเซาะพังผืด (Subcision)
การรักษาหลุมสิวด้วยการเซาะพังผืด เหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิวเป็นบริเวณกว้างทั่วทั้งหน้า หรือกินพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น หลุมสิวเยอะบริเวณแก้ม การเซาะพังผืด (Subcision) นั้นจะใช้เข็มแบบพิเศษที่มีขนาดเล็ก สอดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่เกิดหลุมสิว และทำการตัดพังผืดที่เกิดจากรักษาสิวที่ไม่สมบูรณ์ให้ขาดจากกัน เพื่อให้เซลล์ผิวทำการซ่อมแซมใหม่อีกครั้ง วิธีรักษาด้วย Subcision ค่อนข้างเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงในการเกิดแผลติดเชื้อ ถ้าหากผู้ทำการรักษา ดูแลแผลได้ไม่ดีพอและอาจมีรอยแผลจากการรักษาได้
วิธีที่ 5 การฉีดเมโสรักษาหลุมสิว
การฉีดเมโสรักษาหลุมสิว คือ การฉีดสารสกัดชนิดต่างๆที่ช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนภายใต้ผิวและช่วยซ่อมแซมหลุมสิวให้ตื้นขึ้น แต่ส่วนผสมต่างๆจะขึ้นอยู่กับแพทย์แต่ละคน และการฉีดเมโสหลุมสิวควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงอาการแพ้ต่างๆและรอยแผล
วิธีที่6 การรักษาหลุมสิวแต่ละประเภทโดยเฉพาะ
วิธีรักษาหลุมสิว Ice Pick Scars
การรักษาหลุมสิว Ice Pick Scars สามารถใช้ยาที่มีส่วนผสมของ Retinoids ในการกระตุ้นเซลล์ เติมเนื้อหลุมสิวให้ตื้นขึ้น ทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และเร่งฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบ ฉีด Filler หลุมสิว เป็นการฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อให้หลุมสิวยกตัวขึ้นและหลุมสิวดูตื้นขึ้น เพียงแต่ว่า Filler จะทำจาก Hyaluronic Acid ที่ร่างกายดูดซึมได้ จึงอาจจะทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นเพียงไม่นาน
วิธีรักษาหลุมสิว Boxcar Scar
วิธีรักษาหลุมสิว Boxcar Scar จะเริ่มทำการรักษาด้วยเลเซอร์หลุมสิวหรือการทำหัตถการต่างๆเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ผิว เพื่อเร่งให้ผิวฟื้นฟูกลับมา รักษาด้วยวิธีตัดพังผืดในผิวหนัง Subcision เป็นการใช้เข็มพิเศษขนาดเล็กแทงเข้าไปเซาะพังผืดใต้ผิวหนังบริเวณหลุมสิว เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่และดันให้หลุมสิวตื้นขึ้น ควรทำโดนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
วิธีรักษาหลุมสิว Rolling Scar
วิธีรักษาหลุมสิว Rolling Scar มักจะทำการรักษาควบคู่กันหลายอย่าง เช่น การยิงเลเซอร์รักษาสิวคู่กับการทำ Subcision เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อที่มากขึ้น เพราะหลุมสิว Rolling Scar มีความลึกและกว้างกว่าหลุมสิวปกติ รักษาหลุมสิวด้วยการกรอผิว จะค่อนข้างเหมาะกับหลุมสิว Rolling Scar เพราะเป็นการกรอผิวหนังบริเวณที่เป็นหลุมสิวออก เพื่อให้สร้างผิวหนังใหม่ขึ้นมาแทนที่ จะช่วยลดทั้งหลุมสิว รอยสิวต่างๆ ไปพร้อมกัน
ป้องกันสิวและดูแลหลุมสิวด้วยผลิตภัณฑ์ป้องกันและฟื้นฟูสภาพผิว
เพื่อให้เห็นผลการรักษาที่ยั่งยืนและป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวซ้ำบนใบหน้าของคุณ และให้เวลาเซลล์ผิวในการฟื้นฟูและเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ สิ่งสำคัญเลยคือการไม่บีบหรือแกะสิวเอง เพราะเชื้อโรคที่มากับมือนั้นอันตรายกว่าที่คิด อาจทำให้สิวของคุณขนาดใหญ่ขึ้น เป็นหลุมได้ง่ายขึ้นอีกด้วย และควรให้ความสำคัญกับการป้องกันไม่ให้หลุมสิวกลับมา โดยสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด
เริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดหน้า หากคุณมีแนวโน้มผิวเป็นสิว ผิวแพ้ง่าย ขอแนะนำ Eucerin PRO ACNE SOLUTION 3X TREATMENT GEL TO FOAM CLEANSER สำหรับใช้ล้างหน้าเป็นประจำเช้าและเย็นทุกวัน
ส่วนผสมที่สำคัญ :
- 2% Salicylic Acid ป้องกันการอุดตันของรูขุมขน ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของสิว
- AHA/BHA/PHA acid complex ผลัดเซลลผิวอย่างอ่อนโยน พร้อมลดรอยสิว
- Glycerin ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น เสริมปราการผิวให้แข็งแรง
คุณสมบัติโดดเด่น :
- ช่วยขจัดคราบและสิ่งสกปรกและคราบเครื่องสำอางที่ไม่หนักมากจนเกินไปได้อย่างหมดจด
- สามารถสลายความมันและสิ่งอุดตันอย่างล้ำลึกถึงต้นตอสิว ทำให้ลดการเกิดสิวซ้ำซาก
- มีสารช่วยลดความมันส่วนเกิน พร้อมปรับสมดุลผิวให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น ไม่แห้งตึงหลังล้างเสร็จ
2. ทาครีมลดสิวเป็นประจำ
หลังจากล้างหน้าแล้ว ให้ใช้ครีมลดสิว Eucerin Pro ACNE SOLUTION SOS SERUM ทาทั่วใบหน้าเป็นประจำเช้าและเย็น
ส่วนผสมที่สำคัญ :
- Licochalcone A สารต้านอนุมูลอิสระที่ลดการอักเสบสิว
- Panthenol ช่วยปลอบประโลม เสริมปราการผิว
- AHA/BHA/PHA ลดสิวอุดตัน สิวอักเสบ ผลัดเซลล์ผิว+ พร้อมลดรอยสิวถึงต้นตอ
- Decanediol ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียก่อสิว
- 2X Carnitine คุมความมันยาวนาน 8 ชม.
คุณสมบัติโดดเด่น :
ช่วยลดปัญหาสิว ที่ช่วยลดการอักเสบ ระคายเคืองสิวช่วยปลอบประโลม และเสริมปราการผิว พร้อมควบคุมความมันส่วนเกินช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของสิวพร้อมดูแลปัญหารอยดำรอยแดงจากสิวได้ถึงต้นตอด้วยจบปัญหาสิวซ้ำซากใน 7 วัน และลดการอักเสบของสิวใน 8 ชม.
3. ถ้าจุดด่างดำหรือรอยสิว ควรทาครีมลดรอยดำให้จางลง
สำหรับผู้ที่มีรอยสิวหรือจุดด่างดำ สามารถใช้ Eucerin Pro ACNE SOLUTION ANTI-ACNE MARK เพื่อช่วยลดรอยดำสิวให้ดูจางลง โดยทาทั้งตอนเช้าและก่อนนอน
ส่วนผสมที่สำคัญ :
- THIAMIDOL เอกสิทธิ์เฉพาะของ Eucerin ช่วยให้ ช่วยลดรอยดำสิวฝังลึก พร้อมลดโอกาสรอยสิวเกิดซ้ำ
- Salicylic Acid ป้องกันเรื่องการอุดตันของรูขุมขน พร้อมยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
- Licochalcone A สารต้านอนุมูลอิสระที่ลดการอักเสบสิว
- Sebum Regulating เทคโนโลยีที่ช่วยควบคุมความมันบนใบหน้า
- Glycerin & Panthenol ช่วยกักเก็บและดูดความชุ่มชื่นเข้าสู่ผิว
คุณสมบัติโดดเด่น :
- ช่วยลดรอยดำด้วยสารทรงพลังอย่าง THIAMIDOL และโอกาสเกิดรอยสิวเกิดซ้ำ
- ลดปัญหาสิวและผิวระคายเคืองด้วย Salicylic Acid และสารสกัดธรรมชาติ ลิโคชาลโคน
หากใครที่ต้องการลดสิวและรอยสิวพร้อมกัน แนะนำให้ทาครีมลดสิวในช่วงเช้าและทาครีมลดรอยสิวในช่วงกลางคืนแยกกันคนละช่วงเวลา
วิธีรักษาหลุมสิวที่ต้นเหตุดีที่สุด เพราะต้นเหตุของการเป็นหลุมสิว มาจากปัญหาสิวเป็นหลัก การรักษาสิวที่ถูกต้องและป้องกันการเป็นสิวซ้ำซาก จึงช่วยลดโอกาสเป็นแผลเป็น หรือ หลุมสิวในอนาคตได้นั่นเอง
คำถามที่พบได้บ่อย เกี่ยวกับหลุมสิว
รักษาหลุมสิว ให้หายเองได้ไหม?
หลุมสิวหายเองได้ไหมขึ้นอยู่กับระดับความลึกของหลุมสิว หากหลุมสิวลึกมากต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวและสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพิ่มขึ้นนานกว่าหลุมสิวที่เล็กและตื้น การปล่อยให้หลุมสิวหายเองจึงใช้เวลานาน 4 - 6 เดือนหรือถึงขั้นที่ไม่สามารถหายได้เอง ดังนั้นทางที่ดีควรดูแลรักษาหลุมสิวอย่างต่อเนื่องและปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการดูแลหลุมสิว
บีบสิวเม็ดเล็กๆ จะทำให้เกิดหลุมสิวไหม?
การบีบสิวถึงแม้เป็นแค่สิวเม็ดเล็กๆ อาจทำให้เกิดหลุมสิวหรือแผลสิวได้ โดยเฉพาะการบีบด้วยมือหรือเครื่องมือที่ไม่สะอาดอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกอื่น ๆ เข้าสู่เนื้อผิวหนัง และส่งผลให้เกิดเป็นสิวอักเสบหรือสิวหัวช้างได้
Vitamin C ช่วยรักษาหลุมสิวได้ไหม?
มีวิตามินหลายชนิดที่สามารถช่วยในการรักษาหลุมสิวและปรับปรุงสภาพผิวหนังได้ เช่น วิตามินซี จากผลไม้และผักใบเขียวเข้มเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งช่วยในกระบวนการฟื้นฟูผิวหนังทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นได้